เมื่อเสียงปืนสงบลงก็มีเสียงเลื่อยยนต์เสียงไม้ล้มเข้ามาแทนที่ ไม่นานนักป่าดงมูลก็กลายเป็นไร่มันสัมปะหลังและไร่ข้าวโพด ตากับยายซื้อที่ดินได้แปลงหนึ่งอยู่ท้ายหมู่บ้าน มีเนื้อที่ 6 ไร่ สมัยโน้นที่ดินถูกมาก 6 ไร่แค่หกพันบาท แต่ตอนนั้นข้าราชการครูยังได้เงินเดือนไม่ถึงเดือนละ 200 เลยนะ (คุณยายเป็นคุณครู) ที่ดินแปลงนั้นก็คือที่ตั้งของบ้านที่ฉันอยู่ในปัจจุบันนี้ และในตอนนี้ราคาของมันก็ถีบตัวขึ้นสูงเป็นไร่ละ 50,000 บาท แผ่นดินเป็นสิ่งที่มีค่าเสมอ ตาบอกว่าเราเป็นเกษตรกรเราต้องอยู่กับที่ดิน เราทิ้งที่ดินไม่ได้ แผ่นดินเป็นของเราและเราก็เป็นของแผ่นดิน
หลังจากที่คุณตาซื้อที่ดินแปลงนั้นมาได้ ก็ปรับที่ดินส่วนหนึ่งเป็นลานกว้างเอาไว้รับซื้อมันสำปะหลังจากชาวบ้านแล้วนำมาตากแห้งส่งไปยังโรงงานแปรรูปมันสัมปะหลังที่อยู่ในตัวอำเภอ จากนั้นไม่นานพ่อกับแม่ก็ได้แต่งงานกัน เป็นการแต่งานที่เกิดจากการเห็นชอบของผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่าย แต่โดยความสมัครใจของบ่าวสาวหรือไม่ก็ไม่ได้ถาม หลังแต่งงานได้ 1 ปีแม่ก็ตั้งท้องพี่สาวของฉัน กิจการรับซื้อมันสำปะหลังก็ไปได้ดี พ่อกับแม่จึงได้ซื้อเครื่องสีข้าวโพด มารับซื้อข้าวโพดจากชาวบ้าน โดยซื้อแบบฝักแห้งๆแล้วนำมาสีแยกเอาแต่เมล็ดแห้งๆไปขายให้โรงงานทำอาหารสัตว์ ในสมัยนั้นนอกจากข้าวที่เป็นอาหารหลักแล้ว พืชเศรษฐกิจที่นิยมปลูกกันแทบทุกหลังคาเรือนคือมันสำปะหลังและข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ จำไม่ได้แล้วว่าเป็นพันธุ์อะไร รู้แต่ว่าเมล็ดมันแข็งมากแม้จะเอามาต้มแล้วก็ยังไม่มีปัญญาจะกินเพราะมันแข็งมากๆ (จำได้ว่าตอนที่เล็กเกิดภัยแล้ง ข้าวยากหมากแพงก็เอาข้าวโพดที่ว่ามาฝานบางๆคลุกปนกับข้าวเหนียวนึ่งกินเป็นข้าวไปด้วยกัน บางวันก็ออกไปขุดหาหัวเผือกหัวมันมากินแทนข้าว)
ทุกอย่างก็ดำเนินไปได้ด้วยดี จนพี่สาวอายุได้ 2ขวบ ฉันก็ยังไม่มาเกิด พ่อกับแม่ก็เลยกังวลใจกลัวว่าจะมีลูกแค่คนเดียว พ่อกังวลมากกว่าแม่ซะอีก ใส่บาตรพระทุกวันขอให้มีลูกอีก จน พ.ศ.2529 ไฟฟ้าเข้าหมู่บ้าน พร้อมกับการตั้งท้องของแม่ เลยแยกไม่ออกว่าดีใจที่ฉันมาเกิดหรือว่าดีใจที่ไฟฟ้าเข้าหมู่บ้านกันแน่ แต่ฉันก็คิดแบบเข้าข้างตัวเองว่าพ่อก็ต้องดีใจที่ฉันมาเกิดสิ ตอนที่ฉันอยู่ในท้องแม่ประมาณ 6 เดือน ที่บ้านก็เริ่มสร้างโรงสีข้าว รับซื้อข้าวเปลือกมาสีเป็นข้าวสารออกขายตามหมู่บ้าน แม่บอกว่าช่วงนั้นเป็นช่วงที่แม่ทำงานหนักมาก ทั้งจะทำบัญชีซื้อขายข้าว บางวันแม้ต้องเข็ญรถเข็ญบรรทุกข้าวเปลือกสอบละร้อยกิโลกรัมขึ้นไปสีเอง เพราะคนงานไม่พอ พ่อก็ออกไปรับซื้อมันสำปะหลังที่ไร่ของชาวบ้าน กลับถึงบ้านก็มืดค่ำ บางวันต้องนอนค้างที่ไร่มันสำปะหลัง ที่บ้านจึงเหลือแค่แม่กลับพี่สาวของฉันที่ยังเล็ก แต่ก็ยังโชคดีอยู่บ้างที่ครอบครัวของน้ามาจากขอนแก่นมาอยู่เป็นเพื่อนแม่ ไม่อย่างนั้นแม่คงได้ทำงานหนักจนถึงวันที่ฉันลืมตาดูโลกเป็นแน่
เช้าวันที่จันทร์ที่ 15 กันยายน 2529 แม่เริ่มเจ็บท้อง พ่อพาแม่ไปโรงพยาบาลก่อนแล้วให้น้าพายาย พี่สาวของฉันและญาติๆตามไปที่หลัง ทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า แม่เจ็บท้องคลอดนานมาก จนสองทุ่มแล้วก็ยังไม่คลอด นายแพทย์ที่ทำคลอดให้ออกมาถามยายว่า จะเลือกแม่หรือเลือกลูก เพราะถ้าหากใช้คีมช่วยคลอดไม่ได้ผลต้องผ่าตัด ยายของฉันจึงตอบออกไปว่า เลือกแม่ (ตอนแรกที่รู้ก็น้อยใจนะแต่พอคิดมาคิดไปคิดไปคิดมาหลายตลบก็พบว่ายายคิดถูกแล้ว) และแล้วเมื่อเวลา ยี่สิบนาฬิกายี่สิบนาที ก็มีเสียงเด็กร้องลั่นโรงพยาบาล และร้องอยู่นานทีเดียวเพราะแม่สลบ กว่าแม่จะฟื้นฉันก็แหกปากร้องลั่นห้องพักหลังคลอดจนพยาบาลที่นั้นเบื่อจะอุ้มแล้ว เพราะอุ้มยังไงก็ไม่หายร้อง แม่บอกว่าตอนที่แม่ฟื้นขึ้นมา ได้ยินเสียงฉันร้องแต่แม่กลับคิดว่าเป็นเสียงลูกของคนอื่นเลยไม่ได้สนใจ พอพยาบาลรู้ว่าแม่ฟื้นก็ไปตามยายมาดูฉันกับแม่(ถ้าแม่เด็กยังไม่รู้สึกตัวพยาบาลที่ตึกหลังคลอดจะไม่ให้ญาติเข้ามาโดยเฉพาะในยามวิกาล เพราะกลัวว่าจะเป็นพวกมิจฉาชีพมาขโมยเด็ก) ยายคงเห็นว่าฉันร้องไม่หยุดเลยบอกแม่ให้อุ้มฉัน รู้ไหมแม่ตอบไปว่าไง แม่บอกว่า บอกให้ลุงฉันโน้นมาอุ้มเอา ยกฉันให้ลุงแล้วเหนื่อยไม่เอาแล้ว (น้อยใจรอบที่สอง แงแง แม่นะแม่ หนูเป็นลูกนะ)ยายก็เลยอุ้มฉันเองซะเลยไม่รู้ว่าเป็นเพราะสายสัมพันธ์ของสายเลือดเดียวกันหรือเป็นเพราะแหกปากร้องไห้มานานจนเหนื่อยหรืออย่างไรไม่อาจทราบได้ ฉันก็หลับปุ๋ยอยู่ในอ้อมแขนของยาย ทีพยาบาลสาวๆมาอุ้มดันไม่หยุดร้อง
บรรยายฉากเกิดตัวเองซะนานทีของพี่สาวกับไม่เขียนถึง เพราะพี่สาวคลอดง่ายมากเลยไม่มีใครพูดถึง ไม่เหมือนดิฉันไปบ้านญาติทีไร โดยเฉพาะผู้ที่รู้เห็นเหตุการณ์ในการถือกำเนิดของฉัน จะเล่าเรื่องตื่นเต้นของฉันกันร่ำไป จนฉันจำได้ ชิงเล่าแทนก็หลายครั้ง ยายก็จะเอานิ้วมาจิ้มที่หน้าผากแล้วบอกว่า ทำเป็นรู้ดี เป็นไงบ้างคะ กว่าจะเกิดมาเป็นคนได้นี้ยากลำบากใช่ย่อย และกว่าจะเติบโตจนมาเป็นพยาบาลได้นี้ยังมีเรื่องยุ่งๆอีกเยอะ แล้วจะมาเล่าให้ฟังนะคะ (จบตอน3)
No comments:
Post a Comment