Tuesday, 29 November 2011

very busy with my little son

ไม่ได้มาอัพบล๊อกนานแล้ว เพิ่งจะมีเวลามานั่ง พิมพ์ก็ตอนนี้ ช่วงนี้ลิงกำลังซน ทำอะไรลิงก็อยากทำด้วย

กลับมาอีกที หน้าหนาวแล้ว มีอะไรมากมายอยากมาเขียน แต่ไม่มีเวลา นั่นไง ลิงมา

Monday, 18 July 2011

Black Forest cake


Black Forest cake

เนื้อเคกจะเป็น Chocolate Chiffon Cake
พอดีไปได้สูตรมาจาก ครัวไกลบ้านกลับคุณ tiara ค่ะ


ส่วนผสม
แป้งเค้กพัดโบก ๑๐๐ กรัม
เบคกิ้งโซดา ๑/๔ ช้อนชา
ผงโกโก้ ๒๐ กรัม
นมผง (หางนม) ๘ กรัม
น้ำตาลทราย (๑) ๑๒๐ กรัม
เกลือ ๑/๔ ช้อนชา
น้ำ ๑๐๐ กรัม
น้ำมันพืช ๕๐ กรัม
ไข่แดง ๕๐ กรัม
ไข่ขาว ๑๐๐ กรัม
น้ำตาลทราย (๒) ๖๖ กรัม
ครีมออฟทาร์ทาร์ ๑/๔ ช้อนชา
กลิ่นวานิลา ๑ ช้อนชา

วิธีทำ
1. ร่อนแป้ง เบคกิ้งโซดา หางนมผง ผงโกโก้ เข้าด้วยกัน เติมน้ำตาลทราย(๑) เกลือคนให้เข้ากัน จากนั้นเติมน้ำมันพืช น้ำไข่แดง กลิ่น วนิลา คนส่วนผสมแรงๆให้เข้ากัน
2. ตีไข่ขาวกับครีมออฟทาทาร์ ด้วยความเร็วสูงสุด จนเป็นฟองหยาบๆ เติมน้ำตาลทราย(๒) ลงไปตีต่อจนตั้งยอดอ่อน
3. เทนส่วนผสม ในข้อ 1 ลงในส่วนผสม ข้อ 2 ตะล่อมเบามือ คนให้เข้ากัน
4. เทลงในพิม ที่รองกระดาษไขไว้ ลี่ใช้พิม 9 นิ้ว เทเคกลงพิม อย่าลืมเคาะก้นพิมเบาๆ3-4ครั้งด้วยค่ะ แล้วอบที่อุณหภูมิ 200องศา นาน12-15 นาที ใช้ไฟล่างอย่างเดียว
5.พอ สุกแล้ว เช็คการสุกโดยใช้ ไม้จิ้ม ลงไปในเนื้อเคก ถ้าเคกสุก เนื้อเคกจะไม่ติดไม้ค่ะ
6. รีบเคาะ เคกออกจาก พิมทันที พักไว้บนตะแกรงให้เย็น แล้วตกแต่งตามใจชอบค่ะ


การแต่งหน้าเคก รส Black Forest cake

 วิปปิ้งครีม ๔๐๐ กรัม
 น้ำตาลทรายป่น ๒ ช้อนโต๊ะ
 ผงวานิลา ๑/๒ ช้อนชา
บลูเบอลี่ฟิลลิ่ง 1 กระป๋อง สำหรับ แต่งหน้าเคก
ตีวิปครีม ในอ่างเติมน้ำตาลทราย วนิลาลงไปตีจนวิปปิ้งครีมตั้งยอดอ่อน

เมื่อได้วิปครีม เราก็มา ปาดเคกแบ่งเป็น 2เลเยอร์ หรือ3 เลเยอร์ ก็ได้
ปาดวิปครีม ลงบนหน้าเนื้อเคกชั้นที่หนึ่ง ตามด้วย บลูเบอลี่ฟิลลิ่ง
ชั่นที่สอง ทำเหมือนกัน
จนครบสองชั่น
แต่งหน้าตามใจชอบ
แช่เย็นประมาณ 3ชั่วโมง ตัดเสริฟ


อร่อยจริงๆ สูตรนี้
http://www.bloggang.com/viewblog.php?id=tiara&date=05-05-2007&group=1&gblog=26
http://www.kruaklaibaan.com/old_forum/forum/index.php?s=0792884ec7d3ef4b15c89fb4b278e0ae&showtopic=12466

Tuesday, 12 July 2011

ยุ่งๆๆ

ช่วงนี้ยุ่งๆ ไม่ได้เข้ามาอัพ บล๊อกเลย เพราะไปหัดการทำขนมเคก ขนมอบต่างๆ มา จากบล๊อคแก๊ง ครัวไกลบ้าน และจากหลายๆที่ ในเวบไซต์ ต้องขอขอบคุณ ทุกคนที่เอาสูตรขนม อร่อยๆ มาแบ่งปัน

ลี่ก็ได้หัดทำขนมจาก สูตรเหล่านี้ และพยายามปรับแต่งสูตรเองบ้าง มั่วบ้าง เดี่ยวยังไงถ้ามีเวลาจะ เอาสูตร ขนมอบ ต่างๆ มาลงแชร์

ถ้าลิงลีโอไม่กวน ช่วงนี้ก็รับทำเคกขายตามงานวันเกิดบ้าง พอได้ค่าขนมให้ลูกกิน เฮ้อ ใจจริงอยากจะเขียน และลงรูปเลยวันนี้แต่ ลูกร้อง ต้องไปเอาลูกก่อน จะพยายามแวะมาอัพให้บ่อยกว่าเดิม

รับทำเคกตามสั่ง งานวันเกิด ปารตี้ ต่างๆ

มาวันนี้จะมาประกาศบอกเพื่อนๆว่าจะรับทำเคกตามงานวันเกิด ตามสั่ง ราคากันเองจ้า ลี่อยู่เมือง portsmouth ใครที่อยู่เมืองเดี่ยวกันกับลี่ อยากได้เคก ติดต่อลี่ได้เลยค่ะ

หาเงินเลี้ยงลูกก่อน

Sunday, 8 May 2011

ขนมจีนน้ำยาป่าปลาทูน่า

ขนมจีนน้ำยาป่าปลาทูน่า สูตรลี่ประยุกต์เองแบบ มั่วๆแต่รสชาด แซ่บเผ็ด มาก

ส่วนประกอบ ง่ายๆ

พริกแห้ง10-15 เม็ด (สำหรับคนชอบเผ็ดมากใส่มาก ชอบเผ็ดน้อยลดปริมาณลง)
หอมแดง 4-5 หัว
ตะไคร้ 3-4 หัว
กระเทียม 3-4กลีบ
ใบมะกรูด 5-6 ใบ
กระชาย 5-6 หัว (ไม่รู้เขาเรียกกระชายเป็นหัวไหม เดาเอา อิอิอิ ใส่เยอะหน่อยจะได้หอมๆๆ )
น้ำปลาร้า ลี่ใช้ปลาร้าปลาช่อนตราพันท้าย ต้มอร่อยมาก นัวจริงๆ
ปลาทูนา2กระป๋อง หรือจะใช้มากกว่านี้ก็ได้ ตามความชอบ
ถ้ามีลูกชิ้นปลาก็ใส่ได้ ตีนไก่ ยิ่งอร่อย


วิธีการทำก็ง่ายๆ
ตำเหมือนพริกแกงทั่วไป พริกแห้งหอมแดงตะไคร้กระชายกระเทียม ตำรวมกัน พอละเอียด

ถ้าใครมีเครื่องปั่นก็ ต้มพริกแห้งประมาณ5นาที ก่อนแล้วค่อยเอาเข้าเครื่องปั่น ปั่นพริกแห้งตะไคร้ กระเทียมหอมแดงกระชายรวมกันให้ละเอียด
พอเราได้ตัวเครื่องแกงแล้วเราก็ ตั้งหม้อต้มน้ำ ใช้น้ำประมาณ1ลิตรต้มให้เดือดแล้วใส่เครื่องแกงลงไป

หลังจากนั้นใส่ปลาทูน่าลงไปเติมน้ำต้มปลาร้า ปรุงรสตามความชอบ ถ้าใครมีตีนไก่ใส่ลงไปด้วย หรือลูกชิ้นปลา อร่อยอย่าบอกใครเลยละงานนี้

Add caption


น้ำยาป่าปลาทูน่า แต่ลูกชิ้นปลาลอยเต็มหม้อเลย
ส่วนขนมจีน ลี่ก็ไปหาซื้อ ตามร้านไทย หรือจีน มาต้ม มันจะมีวิธีการต้มที่ ในซอง ลี่ไม่ได้สาธิตการต้มขนมจีน เพราะ จับขนมจีนไม่เป็น พันแบบมั่วๆ เลยไม่กล้าโชว์

Saturday, 7 May 2011

ลัดดาแลนด์

BBQ

ช่วงที่หายไป ตอนนี้หน้าร้อนของอังกฤษ แล้วค่ะ เลยต้องมาปิ้งย่าง บาบีคิวกันหน่อย

BBQ smoky joe
 หน้าร้อนแล้วก็ต้องไปทะเล ไปอาบแดด กันหน่อย แต่ทะเลมีแต่หิน


me and my friends family went to the sea front portsmouth (the beach don't have sand )

Thai dessert ของหวานๆง่ายๆ

Bualoy taro and Bualoy pumpkin
ขนมบัวลอยเผือก กับ ขนมบัวลอยฟักทอง ไม่แน่ใจว่าเขียนชื่อภาษาอังกฤษถูกไหม เพราะแปลเอง ตามความเข้าใจแบบมั่วๆ ถ้าเขียนผิดถูกยังไงช่วยชี้แนะด้วยนะค่ะ

หลังจากผ่านไปนานมากไม่ค่อยมีเวลามาupdate บล๊อกของตัวเองเลยเนื่องจาก ติดภาระกิจมากมาย เดี่ยวจะทยอยมาเขียนเล่าทีละเรื่อง หลังจากหายไปนาน วันนี้กลับมาพร้อมขนมหวาน พอดีไปเจอสูตรการทำของหวานในเวบ หนึ่ง คือบัวลอยเผือกเลย ลองทำกินดูปรากฎว่าอร่อยมาก สูตรของหมึกแดง ดังนี้

บัวลอยเผือก

การทำบัวลอยเผือก


เครื่องปรุง
  •    1.แป้งข้าวเหนียว
  •    2.เผือกต้มสุกยี
  •    3.น้ำอุ่น
  •    4.น้ำเปล่าสำหรับต้มบัวลอย
  •    5.หางกะทิ
  •    6.น้ำตาลปี๊บ
  •    7.น้ำตาลทราย
  •    8.เกลือป่น
  •    9.หัวกะทิ

  • 1 ถ้วยตวง
  • ½ ถ้วยตวง
  • ½ ถ้วยตวง
  • พอประมาณ
  • 2 ถ้วยตวง
  • ½ ถ้วยตวง
  • ¼ ถ้วยตวง
  • ½ ช้อนชา
  • 1 ½ ถ้วยตวง


วิธีทำ
  • 1.ผสมแป้งข้าวเหนียวกับเผือกต้มสุกยีเข้าด้วยกัน เทน้ำอุ่นลงไปในส่วนของแป้ง นวดให้แป้งเนียน
  • 2.ปั้นแป้งให้เป็นก้อนกลม ๆ ขนาด ½ ซม. พักไว้
  • 3.นำหม้อตั้งไฟ เทน้ำลงไปต้มให้เดือด ใส่ก้อนแป้งลงไป เมื่อแป้งสุกก้อนแป้งจะลอยตัวในน้ำต้ม ตักออกแช่ในน้ำเย็น
  • 4.ในหม้ออีกใบใส่หางกะทิ น้ำตาลปี๊บ น้ำตาลทราย และเกลือป่น ต้มจนเดือด ใส่บัวลอยที่ต้มสุกแล้ว ลงไปคนให้เข้ากัน ใส่หัวกะทิลงไปคนให้เข้ากัน ตักใส่ถ้วย ยกเสิร์ฟร้อน ๆ


ส่วนการทำบัวลอยฟักทองนั้น เราก็เปลี่ยนจากเผือกเป็นฝักทอง ส่วนผสมอื่นๆเหมือนกัน อร่อยเหมือนกันค่ะ รับรองได้ เพราะตอนนี้ทำกินจนอ้วนแล้ว เวลาทำลี่ทำทั้งสองอย่างเลยสีสันสวยงาม มาก แถมอร่อยแบบง่ายๆ ด้วยค่ะ






http://www.mcdangguide.com/เปิดครัวกับหมึกแดง/157-บัวลอยเผือก.html

Saturday, 2 April 2011

Thai Lady Song หญิงไทย-ดา เอ็นโดรฟิน

เป็นคนที่อ่อนไหว กับเรื่องราวที่เข้ามา... I am sensitive to all things
เป็นคนที่มองฟ้า อาจจะเสียน้ำตาได้...I am the kind of person who may cry when seeing the sky
เป็นคนไม่พูดจา เป็นคนที่เรียบง่าย...I am not a chatterbox, I am simple
ไม่ค่อยสนใจ เรียกร้องเรื่องอะไร...I do not make demands

เป็นคนที่ดูเฉย อาจจะเชยด้วยซ้ำไป...I am a quiet person and may be mistaken as nerdy
เป็นคนไม่หวั่นไหว ไม่ค่อยสุงสิงใครๆ...But I am strong, though I am an introvert
เป็นคนไม่สังคม กินอยู่ก็ง่ายๆ...Not sociable and have a plain existance
หญิงไทยยังไงก็ยังงั้น...I am a Thai lady

เเต่เป็นคนที่หัวใจข้างในเข้มเเข็ง...But my heart is strong inside
เป็นคนที่เข็งเเรงเรื่องหัวใจ...Yes, I am strong
หากได้ลงได้ลองได้รักใคร...If I love someone
เทให้เลยหมดทั้งหัวใจ...I will be true and give my all
เเละพร้อมตายเเทนได้เลย เธอรู้ไหม...Know that I will die for you.

เป็นที่ช่างฝันเเละชอบจินตนาการ...I am a dreamer and a painter of thoughts
เป็นคนไม่ค่อยหวาน เเต่ไม่ค่อยยอมเเพ้ใคร... I am not sweet. I will not bow down to anyone
เป็นคนที่ไม่ยอม ถ้าใครมาคิดร้าย...I will not give up the fight if you are harmed
หรือเเย่งเธอไปฉันไม่ยอม...or if someone tries to win you away











http://www.thailandqa.com/forum/showthread.php?35909-Help-me-to-translate-this-song-please..*หญิงไทย-ดา-เอ็นโดรฟิน*

Fate เพลงพรหมลิขิต (Thai Song)



พรหมลิขิตบันดาลชักพา ดลให้มาพบกันทันใด
...Fate brings us together
ก่อนนี้อยู่กันแสนไกล พรหมลิขิตดลจิตใจ ฉันจึงได้มาใกล้กับเธอ

...We were once far away, but fate influence my heart to be near you
เออชะรอยจะเป็นเนื้อคู่ ควรอุ้มชูเลี้ยงดูบำเรอ

...Perhaps we are soulmates to love
แต่ครั้งแรกที่พบเธอ ใจฉันเชื่อว่าแรกเจอ ฉันและเธอเป็นคู่สร้างมา

...The first time I met you, my heart believes that you and I are made for each other

เนื้อคู่ ถึงอยู่แสนไกลก็ไม่คลาดคลา

...Soulmates...even are far away will always meet
มุ่งหวัง สมดังอุราไม่ว่าใครๆ

...no matter who
หากไม่ใช่คู่ครองแท้จริง จะแอบอิงรักยิ่งปานใด

...But if they are not meant for each other, no matter how much they love
ยากนักที่จะสมใจ คงพบเหตุอาเพศภัย พลัดกันไปทำให้คลาดคลา

...They will not be together, something will happen to make them apart

เราสองคนต่างเป็นเนื้อคู่ จึงชื่นชูรักใคร่บูชา

...Us two are soulmates so we love and adore each other
นี่เพราะว่าบุญหนุนพา พรหมลิขิตขีดเส้นมา ชี้ชะตามาให้ร่วมกัน

...It is because of karma and fate draw the destination that we should be
เราสองคนคงเป็นเนื้อคู่ เพียงแต่ดูรู้ชื่อโดยพลัน

...Us two must be soulmates, even just the names give us the feeling of knowing
ก็รู้สึกนึกรักกัน จนฝันใฝ่ใจผูกพัน แม้ไม่ทันจะเห็นรูปกาย

...That we love and adore even before we meet in person

ฉันเชื่อ เพราะเมื่อพบเธอฉันเพ้อมากมาย

...I believe it to be so because when I finally meet you I dream of you
เฝ้าหลง พะวงไม่วายไม่หน่ายกมล...pine for you, yearn for you
พรหมลิขิตบันดาลทุกอย่าง เป็นผู้วางหนุนทางมวลชน

...Fate dictates everything, leading our lives
ได้ลิขิตชีวิตคน มอบเนื้อคู่มาเปรอปรน ทั้งยังดลเธอให้คู่ฉัน

...Writing our lives, bringing soulmates together and you for me









thank http://www.thailandqa.com/forum/showthread.php?36019-please-help-me-to-translet-this-song-quot-พรหมลิขิต-quot

My sister story Episode5 ชีวิตของฉัน ตอนที่5 Gecko

คุณ...กลัวตุ๊กแกไหม???
                คุณจะกลัวหรือไม่ดิฉันไม่อาจทราบได้ แต่ที่ดิฉันทราบคือ ดิฉันกลัวตุ๊กแกมาก ใครจะว่าปัญญาอ่อน ใครจะว่าแก่แล้วยังกลัวตุ๊กแกอยู่ได้ ดิฉันไม่สน เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะไปอยู่ที่ไหน สิ่งที่ทำเป็นอันดับแรกคือ จัดการทำให้มุมอับทึบ ที่ชื้นแฉะ ให้สลายหายไปจากบริเวณที่ดิฉันจะไปใช้ชีวิตอยู่ ดูเหมือนจะเป็นโรคจิตอ่อนๆนะ แต่ดิฉันกลัวมันจริงๆ และดิฉันเองก็มีเหตุผลที่สมเหตุสมผล ในการที่จะกลัวมันด้วย

                เรื่องที่ทำให้ฉันกลัวตุ๊กแกนั้นมันมีอยู่ว่า  ประมาณ 19 ปีที่แล้ว บ้านของฉันยังเลี้ยงหมูอยู่ เรามีคอกหมูขนาดเล็กอยู่ทางด้านทิศเหนือ และที่คอกหมูนั้นเองที่เป็นแหล่งซ่องสุม กำลังพล ของเหล่าตุ๊กแกทั้งเล็กบ้างใหญ่บ้าง สมัยโน้นยังไม่มีใครเลี้ยงตุ๊กแกไว้ขายเหมือนทุกวันนี้ ใครที่ทำอาชีพรับซื้อตุ๊กแกไปขายให้พ่อค้า ต้องมาตามจับตุ๊กแกตามหมู่บ้านต่าง ราคาในตอนนั้น ตัวเล็ก ไม่ว่าหางสั้นหางยาว ราคาตัวละห้าบาท ตัวใหญ่หางสั้นตัวละเจ็ดบาท ถ้าตัวใหญ่หางยาวด้วยตัวละสิบบาท
                วันที่เกิดเรื่องน่าจะเป็นวันเสาร์หรือวันอาทิตย์ ไม่มั่นใจ แต่ต้องเป็นวันหยุดแน่ๆ เพราะฉันไม่ต้องไปโรงเรียน ตอนที่พวกเหล่าชายฉกรรจ์ มาล้อมจับฝูงตุ๊กแกที่คอกหมูฉันก็อยู่บริเวณนั้นด้วย แต่ไม่ได้อยู่ภาคพื้นดิน ฉันอยู่บนต้นมะยมข้างคอกหมู จำได้เลาๆว่าแม่ใช้ให้เก็บมะยมมาทำมะยมดอง/เชื่อม เอาไว้ขายตอนไปโรงเรียน ตอนที่เก็บมะยมอยู่กลุ่มชายฉกรรจ์ประมาณ 5-6คน พร้อมอาวุธครบมือ (ประกอบด้วย ไม้ยาวๆที่มีบ่วงเชือกไว้รัดคอตุ๊กแก+กระสอบป่านใบย่อมๆหนึ่งใบ)ด้วยความอยากรู้อยากเห็นตามประสาเด็กฉลาด ก็เลยนั่งดูอยู่บนกิ่งต้นมะยม

Gecko
ตอนนั้นยังไม่กลัวตุ๊กแก ตอนที่พวกผู้ชายตัวโตๆ(ตามความรู้สึกของเด็ก 5-6ขวบ) แกะเอาแผ่นไม้ที่พ่อเอาไปวางไว้ด้านข้างคอกหมูออก เพื่อจะจับตุ๊กแกนั้น ก็มีเสียงร้องบอกกันว่า “ฮู้... มีเป็นร้อยเลย ตัวใหญ่ทั้งนั้น” แล้วพ่อเฒ่าที่มากับทีมก็ร้องบอกว่า “ระวังแน๋สู แม่มันหวงไข่หวงลูกมันสิกัด” ตอนนั้นเพิ่งรู้ว่าตุ๊กแกก็กัดคนได้ เด็กหนอเด็ก ก็เฝ้าดูต่อไป พวกนั้นก็ใช้บ่วงคล้อง เอาตุ๊กแกมาได้ที่ละตัว สองตัว บางคนเอามือเปล่าจับมาโยนลงในกระสอบ ทั้งๆที่ปากกระสอบก็ไม่ปิด แต่ตุ๊กแกก็ไม่วิ่งหนีออกมา ด้วยความสงสัยเลยถามพ่อเฒ่าว่าทำไมตุ๊กแกมันไม่วิ่งหนี พ่อเฒ่าบอกว่าที่ไม่หนีเพราะมันโดนจับหักคอตายหมดแล้ว ตัวเล็กๆจะจับหักคอให้ตาย พอกลับถึงบ้านก็จะไปผ่านกระบวนที่จะทำให้มันไม่เน่า แต่ฉันจำไม่ได้แล้วว่าทำยังไง
นั่งดูไปได้สักพัก ก็มีเสียง ฮือฮา ในกลุ่มพวกคนหนุ่ม จับใจความได้ว่า เจอตุ๊กแกตัวใหญ่ แต่มันวิ่งหนีเข้าไปแอบในซอกแคบๆ เอาไม้หย่อนลงไป ก็ไม่โดน ลองกันอยู่นาน จนคนที่ท่าทางจะมากประสบการณ์ บอกว่าจะล้วงลงไปจับตุ๊กแกออกมา พ่อเฒ่าก็ได้ห้ามปรามแล้ว แต่เขาไม่ฟัง ตอนที่เขาทำการล้วงอยู่นั้น ทุกคนรวมทั้งฉันต่างก็ลุ้นกันจนตัวโก่ง เงียบจนได้ยินเสียงหัวใจตัวเองเต้น ตึ้กตั้ก ๆ
ความงียบเข้าครอบงำบริเวณนั้นประมาณ 5 นาที ผู้ชายคนนั้นก็ร้องเสียงดัง ว่า “มันกัดกู มันกัดกู” แล้วเขาก็เอามือขึ้นมา ภาพที่ฉันเห็น คือ มือที่อาบไปด้วยเลือดสดๆ บริเวณโคนนิ้วหัวแม่มือมีตุ๊กแกติดอยู่ แกสะบัดมือไปมา สะบัดยังไงก็ไม่ออก ตุ๊กแกมันก็ห้อยอยู่อย่างนั้น พ่อเฒ่าบอกให้เขาวางมือลงกับพื้นนิ่งๆ แล้วเอามีดฟันฉับลงไปที่ตุ๊กแก ขาดเป็นสองท่อน จากนั้นก็แงะเอาหัวของตุ๊กแกออกจากมือของผู้ชายคนนั้น ภาพที่เห็นคือ นิ้วหัวแม่มือห้อยร่องแร่งจะหลุดมิหลุดแล่ ผู้ชายคนนั้นก็หมดสติเป็นล้มลงไปกองอยู่กับพื้นทันที เกิดเสียงเอะอะโวยวายกันสักพัก คณะล่าตุ๊กแกก็แบกเอาเพื่อนร่วมทีมที่บาดเจ็บไป
ผ่านมา 19ปีแล้ว ฉันยังไม่รู้เลยว่าผู้ชายคนนั้นจะเป็นยังไง หมอจะเย็บนิ้วมือให้ได้เหมือนเดิมไหม หรือว่าเขาจะกลายเป็นคนพิการมีนิ้วมือแค่เก้านิ้ว เพราะความประมาทแท้ๆ
 เหตุการณ์นั้นทำให้ฉันกลัวตุ๊กแกฝั่งใจมาจนถึงทุกวันนี้ และคอยระวังไม่ให้ลูกหลานเข้าใกล้สัตว์อันตรายตัวนี้เลย แม้ใครๆจะบอกว่ามันไม่ใช่สัตว์อันตราย ฉันจะไม่เชื่อเด็ดขาด


Gecko




Wednesday, 23 March 2011

Baffins Pond Summer time

Baffins Pond Portsmouth



Baffins Pond


A 4.35 hectare area home to a host of wild fowl and ducks and established reed beds in the pond area. Also, a sand pit and play area, which includes accessible play equipment. Grain to feed ducks can be purchased from shops near by.



The pond’s main attraction is the large number of ducks and other wild fowl that people of all ages come to feed. Please only feed the birds grain - it is essential for the well-being of the birds and to maintain a healthy pond.

There are established reed beds and other water plants helping to create a diverse habitat to encourage a wider range of flora and fauna. There is a large play area with equipment for all ages and a sand pit. The site has recently been upgraded to include accessible equipment such as play panels, a sand table and disabled swing seat. Close to the play area is a ball-court with basketball and 5-a-side goals and the grassed field also has 5-a-side goals.


An old compound has been transformed into a base for Baffins Pond Association who involve the local community in organised events and projects.







http://www.visitportsmouth.co.uk/site/what-to-see-and-do/baffins-pond-p276431

Saturday, 19 March 2011

Song Small boat เรือน้อย




เรือน้อย... ล่องลอยกลางสายน้ำไหล
ลำเรือ... ทำด้วยไม้ไผ่ และใบทำด้วยใบตอง
คือ... ความเรียบง่ายล่องไหลไปตามครรลอง
ใบตองตรึง.. ยามสายลมต้อง เรือน้อยล่องกลางสายธารา

เรือน้อย... ล่องลอยกลางทะเลฝัน
ราตรีฟ้าอาบแสงจันทร์ ฟากฝั่งฝันไกลสุดตา
เจ้าเรือไม้ไผ่... ล่องไหลไปตามยถา
แล้วแต่ลม... และคลื่นจะพากลางธาราสีน้ำผึ้ง

* เสียงกระซิบ... จากดวงดาว... ระมุนแผ่วเบา...
ด้วยเสียงสายลมรำพึง... เสียงปลอบประโลม จากสายน้ำหวานสุดซึ้ง
ฟากฝั่งฝันยิ่งไปไม่ถึง... เรือน้อยอย่าพึ่ง... ท้อแท้ทางจร...

เรือน้อย... จะลอยล่องไปแห่งใด...
ขอจงอย่าหวั่นผองภัย... จงฝ่าไปอย่าได้อาวรณ์
เส้นทางสู่ฝันคืนวันมั่น นิรันดร...
สายสมรักจะเอื้ออวยพร... ให้เจ้าจรถึงฝากฝั่งฝัน.

This is a Lao Esan (Northeast Thailand) Lullaby

This is a Lao Esan (Northeast Thailand) Lullaby. Khaen playing by Jonny Olsen. Thank you. เพลง กล่อม ลูก อีสาน





Oe hoe oe hoe oe hoe oe hoe oey
Ee koeng eoy, kho khao, kho kaeng.

Oh, Moon, May I have some rice and soup

Kho waen thong daeng khaen kho nong laa.

And brass rings to string around my baby sister's neck.

Kho ch/saang, kho maa pet kai ngua khway.

May I have elephants, horses, ducks, chickens, cows, and buffaloes.

Kho ka-buay thong kham tak nam.

May I also have a gold water scooper.

Kho khao yam maa pon kon kham.

May I have roasted ground sticky rice for my precious sister.

Kho mo lam hai nong khoi boeng.

May I have Lam, the Isan folk opera, for my sister to enjoy.

Ee koeng eoy, tu khoi fao kho

Oh, Dear Moon, I keep begging you.

*oe hoe oe hoe oe hoe oe hoe oey




letter red colour english translate

How to be Thai Heroes

How to be Thai Heroes










The battle of life (Thailand's Got Talent)

One Hand Guitarist



ใจสู้หรือเปล่า ....
ไหวไหมบอกมา.........
โอกาสของผู้กล้า ศรัทธาไม่มีท้อ.......

Thursday, 17 March 2011

KALASIN THAILAND

kalasin Thailand

MY HOMETOWN KALASIN

Comparatively small among its sister provinces of the Northeast, Kalasin was once relegated to the status of an Amphoe before being restored its present administrative entity. Despite its smallness, Kalasin is a busy agricultural province with considerable attractions. Kalasin is 519 kilometers from Bangkok.
Kalasin and its provincial capital sit at the heart of the northeast. It is known for its traditional music and for being the site of the biggest concentration of dinosaur fossils ever discovered in Thailand.



Lam Pao Dam
built across the Lam Pao and Huay Yang rivers is thirty five kilometers from town center on the Kalasin Yang Talat highway. The reservoir can hold up to 1260 million c.m. of water and is as beautiful as any natural lake. Along the bank of the reservoir has been built an open zoo to serve as a major attraction of the Northeast.

Phrae Wa Silk
a most renowned hand-crafted product of Kalasin, is hand-woven in unique colourful designs by Phu Thai people of Ban Phon Village, Amphoe Kham Muang. Phu Thai People are descendants of Vietnamese immigrants from Muang Taeng. Phrae Wa silk is available at Kalasin Cultural Center and souvenir shops in the province.


Phra Buddha Saiyat Phu Khao
About six kilometers away from Sahatsakhan Market is the Reclining Buddha Image carved on the stone cliff. It is different from other reclining Buddha images as the figure reclines on the left-side instead of the normal right-side. Built around 1692, the image is highly venerated by local worshippers.

Culture & Tourism Promotion Center
located in the area of the Thirawat Hospital, exhibits ways of life of the local people as well as sells selected items of Kalasin local products such as Phrae Wa fabric, local musical instruments, etc.

Wat Klang in Amphoe Muang
houses a Buddha image in black and cast in bronze. Of fine craftsmanship, it is the main image of the province, and during any dry spell, it is borne aloft on a procession to plead for rain. At the base of the image are inscribed ancient Thai letters.In addition to the black Buddha image, Wat Klang also houses a large replica of the Holy Footprint made in sandstone. Moulded during the reign of the Lawa, the Footprint used to be located on the bank of the Lam Pao River but was removed to Wat Klang when the bank became eroded.

Saturday, 12 March 2011

Isaan folksong เพลงกล่อมเด็ก

Sleep, little one, close your eyes, mother will sing you a lullaby... Sleep in a jewel cradle, sleep, mother will rock you.
If you don't sleep the midges will go for your eyes and pollen will fall on the cradle....Sleep, close your eyes...


- Isaan folksong, from "The Price of a Life" (Onkom, 1997)



http://www.thailandqa.com/forum/showthread.php?36991-What-to-do-in-Khon-Kaen-(-Isaan-)-area-David


Thursday, 10 March 2011

คนแย่ๆๆ

คนเรา แต่ละคนเกิดมา จากสิ่งแวดล้อมแตกต่างกัน การศึกษาแตกต่างกัน ฐานะแตกต่างกัน การนับถือศาสนาแตกต่างกัน มีความคิดเห็นแตกต่างกัน มีความเชื่อแตกต่างกัน แต่ทุกคนอาศัยอยู่บนโลกใบเดียวกัน

ในโลกกลมๆหนึ่งใบประกอบไปด้วย คนหลากหลาย เชื้อชาติ หลากหลายศาสนา มากมายหลายประเทศ

ประเทศไทย ก็เป็นส่วนหนึ่งของโลกกลมๆ และตัวดิฉันเองก็เป็นส่วนหนึ่งของประเทศไทย ประเทศไทยเป็นผืนแผ่นดินเกิด ฉันภูมิใจที่ได้เกิดมาเป็นคนไทย และสำนึกในบุญคุณของแผ่นดินไทยเสมอมา

ผิดไหมที่ดิฉัน จะมีความคิดเห็นส่วนตัวในเรื่องของความรัก ที่แตกต่าง หรือผิดไหมที่ดิฉัน หรือผู้หญิงไทย อย่างดิฉันจะเลือก ค้นหาในสิ่งที่ดิฉันต้องการ

ตั้งแต่ดิฉันเกิดมาจนถึง ณ ปัจจุบัน อายุ 28 ปี ดิฉันคิดเสมอว่าจะเป็นฝ่ายเลือก ไม่ใช่คนที่ถูกเลือก และดิฉันก็ได้เลือกตามความต้องการเลือกที่จะมีแฟน และสามีเป็นชาวต่างชาติ เพราะมันเป็นเหตุผลความชอบส่วนบุคคลของดิฉัน

และดิฉันก็เห็นว่ากฏหมายไทย ไม่ได้เขียนห้ามหญิงไทย หรือชายไทย สมรสกับชาวต่างชาติ และการที่ผู้หญิงไทย แบบดิฉันแต่งงานกับชาวต่างชาติ ก็ไม่ได้สร้างความเสียหายหรือทำลายชาติเลยแม้แต่น้อย เพราะมันเป็นเรื่องส่วนตัว

และการที่คนไทยบางคนเข้ามาเขียนข้อความใช้วาจาหยาบคาย ว่าให้ ผู้หญิงไทยแบบดิฉันที่มีสามีชาวต่างชาติ นั้น ไม่สมควร ใช้ความคิดเห็นส่วนตัว ของตัวเองมาว่าให้คนอื่น เพราะมันแย่มาก

ไม่ทราบว่าเอาอะไรมาวัดความรักชาติ และดิฉันก็มั่นใจว่าศาสนาพุทธ ก็ไม่เคยสอนให้นินทาว่าร้าย ผู้อื่น โดยที่ไม่รู้จักตัวตนของเขา

ที่วันนี้ต้องมาเขียนระบายอารมณ์ในบล๊อกตัวเอง เพราะไปเจอ คนโรคจิต ใช้ความเป็นคนไทยของเขาไปเขียนโพสด่า ในบล๊อกยูทูป ไม่ใช่ด่าแค่ ดิฉันคนเดียว ทั้งยังด่าคนอื่นๆใช้ ถ่อยคำไม่สุภาพ เจอหลายครั้งแล้วแต่ ลบไป แต่รอบนี้เอามาโชว์ เกลียดนัก พวกที่ไม่เคารพ สิทธิส่วนบุคคล ของคนอื่น

บุคคลที่ทำตัวแบบนี้ยิ่งสร้างความเสียหายให้กับประเทศไทยเป็นอย่างมาก

ดังรูปที่โชว์ค่ะ บางอันลบไปเลยไม่ได้เอามาลง เพราะใช้ถ้อยคำไม่สุภาพเกิน คนนิสัยแย่ๆ แบบพวกนี้ยังไปคอมเม้นวีดีโอหรือรูปภาพของชาวต่างชาติที่มีครอบครัว โดยเปลี่ยนยูเซอร์เนม ไปเรื่อยๆ แต่ที่แย่คือ คนพวกนี้ไม่ว่า จะเป็น หญิงหรือชาย ยังใช้ คันทรี่ ไทยแลนด์  คิดดูสิ สมัยนี้เขาใช้กลูเกิ้ล แปรได้ ถึงจะอ่านไทยไม่ออก ลองใช้กลูเกิ้ลแปลแล้ว คนชาติอื่นเขาจะคิดยังไงกับ ประเทศของเรา

Sunday, 6 March 2011

Life in the UK test

now when i have free time i read book  for test like in the uk test. i think very hard for me because i don't have time for read book, i very busy with my little son leo. and language me not good ,i try to do exam on website but very hard for get pass 75%.

Time going very fast fast quick quick hope............................
I think i am live here (UK) is not easy before come uk i beg visa very hard because i go to A1 test and many thing to do more more moremore and more................................

After have visa come to uk have many thing to do again many test ,many study and bra bra........

But i select my life for live in here ,i think i can fight fight everything.



http://www.hiren.info/life-in-the-uk-test/1

Saturday, 5 March 2011

Love of Sarakham อยาดดูหนังเรื่องฮักนะสารคาม

เห็นตัวอย่างหนังเรื่องฮักนะ สารคามแล้ว คิดฮอดสมัยตอนเรียนอีหลี หนังเว้าลาวอีกต่างหาก คิดถึงเพื่อนๆๆที่เรียนด้วยกัน คิดถึงตลาดน้อยที่มอใหม่ ร้านส้มตำลูกชิ้นทอด ร้านนม ร้านผัดไทย99 และอีกหลายๆๆ ร้านประจำ  อยากไปเดินห้างเสริมไทย สมันตอนเรียนยังจำได้ที่มหาสารคาม มีห้างเดียวคือ เสริมไทย (ไม่รวมห้างทอง มีเยอะ อิอิอิ) ชอบไปเดินมากเวลาไม่มีเรียน เพราะมันมีอยู่ห้างเดียว ถ้าไม่นั่งรถเมลล์ไปเดินแฟรี่ ที่ขอนแก่น
อ้อ ไม่รู้ในหนังจะมีแก้วกานต์ ไหม

ไม่รู้ตอนนี้ที่มอ สารคาม จะเปลี่ยนแปลงไปมากไหม ทั้งมอใหม่มอเก่า ถ้ามีโอกาสได้กลับบ้านที่ไทย ต้องแวะไปหาของอร่อยกินแถว มอ ซะแล้ว ไปดูการเปลี่ยนแปลง

อยากดูหนังเรื่องนี้เต็มๆๆมากเลย ไม่รู้ว่าจะมีโอกาสได้ดูตอนไหน แผ่นออกเร็วๆๆด้วยเถอะจะได้เบิ่ง

ช่วงนี้เลี้ยงลุกหัวมุ่น วุ่นวายมาก คิดภาษาเขียนอิงลิช ม่ายออกเลย เขียนทั้งไทย ทั้งอีสาน เนี่ยแหละ ไว้ว่างจากการเลี้ยงลูก ให้อาหารหมู แล้ว จะพยายามมาเขียน ภาษาอังกฤษ แบบ ไถ่ไปที ขนาดวันนี้ออกไปซื้อของข้างนอก พูดอิงลิชสลับหน้า สลับหลัง จนฝรั่งงงเลย มาอยู่ที่นี่จะ 8เดือนแล้ว ยังเก็บอาการตื่นเต้นเวลาพูดกับคนที่นี่ ไม่ได้เลย บางทีท่องไว้อย่างดี เวลาไปพูดดันลืมซะงั้น สงสัยต้องรอเรียนการพูดภาษาอังกฤษ กับลูกซะแล้ว

เว้ามาตั้งนาน โอ้เขียนบ่นมาตั้งโดน สุดท้ายอยากเบิ่ง หนังเรื่องนี้ แฮ้งงงงงงงงเด่





" ฮักนะ สารคาม" เป็นภาพยนตร์โรแมนติก คอมเมดี้เสียงในฟิล์ม สำเนียงอิสส์ (อีส-ซึ่น หรือ ภาษากลางเรียกว่า อีสาน ) ที่เล่าเรื่องราวความรักหลากหลายของเด็กวัยเรียน ทั้งเด็กมัธยมปลายวัยหัวเลี้ยวหัวต่อเข้ามหา'ลัย อย่าง " มุก " (สุมลนาถ คำหว่าน) และ "ภูมิ " (ประภัทรพงศ์ ประสิทธิพงศ์) คู่เลิฟที่กำลังจะไปเรียนหมอด้วยกัน แต่มีเหตุจำเป็นให้เกิดความหมางเมิน โดยมี "แก่น" (วิภู งามเนตร) เพื่อนเก่าที่แอบรักมุกแต่ไม่เคยได้บอกความในใจออกไป เข้ามาขยายพื้นที่ความเหินห่างของทั้งคู่ให้มากยิ่งขึ้น หรือจะเป็นเรื่องรักมหา'ลัยของ " เทพ " (ธันวา สุริยจักร) หนุ่มฮอตหน้าหล่อ ขวัญใจสาวน้อยสาวใหญ่ ในมหา'ลัย สารคาม ไม่ว่าจะเป็น "อุบล" (ตุ๊กกี้ ชิงร้อย) เจ๊ใหญ่ รุ่นพี่ที่เรียนรักและรักเรียนมาถึง 7 ปีเต็ม, รินทร์ (หนูจ๋า อชิรญาณ์ จาก มหาลัยสยองขวัญ ) สาวสวยหมวยเอ๋อ ที่แอ๊บว่ามิได้ช๊อบ...ชอบ พี่เทพ แต่พวกเธอหารู้ไม่ว่าแท้จริงแล้ว "เทพ" ดันไปขายขนมจีบให้สาวต่าง ม. (มิลค์ ภาวินี )เรื่องราวความรักของพวกเขาและเธอที่เกิดบนพื้นที่ศูนย์กลางของการเรียนรู้ในท้องถิ่­นอีสาน ที่ที่ถูกเรียกว่าดินแดนแห่งความรู้ "มหาสารคาม"
ขออภัยนะครับตัวนี้สีอาจจะเพี้ยนหน่อย 10 มีนาคมนี้ ในโรงภาพยนตร์






มาบอกฮักกัน




คนขอนแก่น Video Supertsar have hometown in Khon Kaen Thailand










คนขอนแก่นค่ะ รักขอนแก่น

Thursday, 3 March 2011

My sister story Episode4 ชีวิตของฉัน ตอนที่4

หลังลืมตาดูโลกได้อายุครบเดือน แม่กับยายก็พาฉันกลับมาอยู่บ้านที่กาฬสินธุ์ ช่วงที่ยังกินนมแม่ ฉันเป็นเด็กที่น่ารักมากๆ เอาวางไว้ตรงไหนก็อยู่ตรงนั้น ไม่ร้องกวนไม่งอแง ทำให้แม่มีเวลาในการทำงานอย่างเต็มที่ ยายบอกว่าช่วงกลางวันฉันกินนมแม่ตอนสองโมงเช้า เสร็จแล้วแม่ก็ไปสีข้าว กว่าจะเลิกก็เที่ยงวัน ตอนนั้นฉันถึงจะได้กินนมแม่อีกรอบ ช่วงเย็นก็ประมาณสี่โมงเย็นถึงจะได้กินนม ทรหดกันทั้งแม่ทั้งลูก

                    ยายบอกว่าฉันเป็นเด็กทารกที่แปลกกว่าเด็กทารกคนอื่นๆ เพราะนอกจากจะไม่ร้องโยเยก่อกวนพ่อแม่และญาติให้ปวดหัวเล่นแล้ว เวลาที่ญาติมาหยอกล้อเล่นด้วย เด็กอื่นๆจะยิ้มจะหัวเราะ แต่ฉันเงียบ...ประมาณว่า ไม่มีสัญญาณตอบรับจากทารกที่ท่านเรียก (แปลกจริงๆ สงสัยตอนเกิดแหกปากร้องนานไปหน่อย ตอนโตเลยขี้เกียจร้องไห้ เพราะร้องไปก็ไม่มีใครสนใจ เศร้า สงสารตัวเองตอนเด็กจริงๆ)
         
                    ฉันก็กลายเป็นเด็กนิ่งๆเงียบๆอย่างนี้มาเรื่อยๆ จนอายุครบ 8 เดือน เด็กอายุเท่ากันเค้าคลานกันได้ตั้งแต่ 7เดือนแล้ว แต่ฉันยังไม่ยอมคลาน (อะไรจะขี้เกียจขนาดนั้น) แต่แล้วสิ่งที่ทุกคนต้องตกใจคือ ฉันข้ามขั้นตอน ฉันไม่คลานแต่เดินได้เฉยเลย (ฉันคงติดนิสัยทำอะไรข้ามขั้นตอนมาตั้งแต่ในตอนนั้น จะมีใครเป็นเหมือนฉันบ้างไหมนะ???) แต่หลังจากนั้นฉันก็ไม่มีอะไรที่พิเศษแตกต่างไปจากเด็กอื่นๆเลย
                                                                                                            จบตอนที่ 4
แล้วตอนต่อไปจะเขียนช่วงวัยไหนดีนะ
ขอเวลาไปสัมภาษณ์ผู้เฒ่าผู้แก่ในครอบครัวและในหมู่บ้านก่อนนะ แล้วจะหาเรื่องที่น่าสนใจมาอัพ ให้ได้อ่านกันเล่นๆแก้เซ็งราคาน้ำมันพืช


http://deathmoon.exteen.com/20110223/entry

My sister story Episode3 ชีวิตของฉัน ตอนที่3

    เมื่อเสียงปืนสงบลงก็มีเสียงเลื่อยยนต์เสียงไม้ล้มเข้ามาแทนที่ ไม่นานนักป่าดงมูลก็กลายเป็นไร่มันสัมปะหลังและไร่ข้าวโพด ตากับยายซื้อที่ดินได้แปลงหนึ่งอยู่ท้ายหมู่บ้าน มีเนื้อที่ 6 ไร่ สมัยโน้นที่ดินถูกมาก 6 ไร่แค่หกพันบาท แต่ตอนนั้นข้าราชการครูยังได้เงินเดือนไม่ถึงเดือนละ 200 เลยนะ (คุณยายเป็นคุณครู) ที่ดินแปลงนั้นก็คือที่ตั้งของบ้านที่ฉันอยู่ในปัจจุบันนี้ และในตอนนี้ราคาของมันก็ถีบตัวขึ้นสูงเป็นไร่ละ 50,000 บาท แผ่นดินเป็นสิ่งที่มีค่าเสมอ ตาบอกว่าเราเป็นเกษตรกรเราต้องอยู่กับที่ดิน เราทิ้งที่ดินไม่ได้ แผ่นดินเป็นของเราและเราก็เป็นของแผ่นดิน

       หลังจากที่คุณตาซื้อที่ดินแปลงนั้นมาได้ ก็ปรับที่ดินส่วนหนึ่งเป็นลานกว้างเอาไว้รับซื้อมันสำปะหลังจากชาวบ้านแล้วนำมาตากแห้งส่งไปยังโรงงานแปรรูปมันสัมปะหลังที่อยู่ในตัวอำเภอ จากนั้นไม่นานพ่อกับแม่ก็ได้แต่งงานกัน เป็นการแต่งานที่เกิดจากการเห็นชอบของผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่าย แต่โดยความสมัครใจของบ่าวสาวหรือไม่ก็ไม่ได้ถาม หลังแต่งงานได้ 1 ปีแม่ก็ตั้งท้องพี่สาวของฉัน กิจการรับซื้อมันสำปะหลังก็ไปได้ดี พ่อกับแม่จึงได้ซื้อเครื่องสีข้าวโพด มารับซื้อข้าวโพดจากชาวบ้าน โดยซื้อแบบฝักแห้งๆแล้วนำมาสีแยกเอาแต่เมล็ดแห้งๆไปขายให้โรงงานทำอาหารสัตว์ ในสมัยนั้นนอกจากข้าวที่เป็นอาหารหลักแล้ว พืชเศรษฐกิจที่นิยมปลูกกันแทบทุกหลังคาเรือนคือมันสำปะหลังและข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ จำไม่ได้แล้วว่าเป็นพันธุ์อะไร รู้แต่ว่าเมล็ดมันแข็งมากแม้จะเอามาต้มแล้วก็ยังไม่มีปัญญาจะกินเพราะมันแข็งมากๆ (จำได้ว่าตอนที่เล็กเกิดภัยแล้ง ข้าวยากหมากแพงก็เอาข้าวโพดที่ว่ามาฝานบางๆคลุกปนกับข้าวเหนียวนึ่งกินเป็นข้าวไปด้วยกัน บางวันก็ออกไปขุดหาหัวเผือกหัวมันมากินแทนข้าว)
 
      ทุกอย่างก็ดำเนินไปได้ด้วยดี จนพี่สาวอายุได้ 2ขวบ ฉันก็ยังไม่มาเกิด พ่อกับแม่ก็เลยกังวลใจกลัวว่าจะมีลูกแค่คนเดียว พ่อกังวลมากกว่าแม่ซะอีก ใส่บาตรพระทุกวันขอให้มีลูกอีก จน พ.ศ.2529 ไฟฟ้าเข้าหมู่บ้าน พร้อมกับการตั้งท้องของแม่ เลยแยกไม่ออกว่าดีใจที่ฉันมาเกิดหรือว่าดีใจที่ไฟฟ้าเข้าหมู่บ้านกันแน่ แต่ฉันก็คิดแบบเข้าข้างตัวเองว่าพ่อก็ต้องดีใจที่ฉันมาเกิดสิ ตอนที่ฉันอยู่ในท้องแม่ประมาณ 6 เดือน ที่บ้านก็เริ่มสร้างโรงสีข้าว รับซื้อข้าวเปลือกมาสีเป็นข้าวสารออกขายตามหมู่บ้าน แม่บอกว่าช่วงนั้นเป็นช่วงที่แม่ทำงานหนักมาก ทั้งจะทำบัญชีซื้อขายข้าว บางวันแม้ต้องเข็ญรถเข็ญบรรทุกข้าวเปลือกสอบละร้อยกิโลกรัมขึ้นไปสีเอง เพราะคนงานไม่พอ พ่อก็ออกไปรับซื้อมันสำปะหลังที่ไร่ของชาวบ้าน กลับถึงบ้านก็มืดค่ำ บางวันต้องนอนค้างที่ไร่มันสำปะหลัง ที่บ้านจึงเหลือแค่แม่กลับพี่สาวของฉันที่ยังเล็ก แต่ก็ยังโชคดีอยู่บ้างที่ครอบครัวของน้ามาจากขอนแก่นมาอยู่เป็นเพื่อนแม่ ไม่อย่างนั้นแม่คงได้ทำงานหนักจนถึงวันที่ฉันลืมตาดูโลกเป็นแน่
     เช้าวันที่จันทร์ที่ 15 กันยายน 2529 แม่เริ่มเจ็บท้อง พ่อพาแม่ไปโรงพยาบาลก่อนแล้วให้น้าพายาย พี่สาวของฉันและญาติๆตามไปที่หลัง ทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า แม่เจ็บท้องคลอดนานมาก จนสองทุ่มแล้วก็ยังไม่คลอด นายแพทย์ที่ทำคลอดให้ออกมาถามยายว่า จะเลือกแม่หรือเลือกลูก เพราะถ้าหากใช้คีมช่วยคลอดไม่ได้ผลต้องผ่าตัด ยายของฉันจึงตอบออกไปว่า เลือกแม่ (ตอนแรกที่รู้ก็น้อยใจนะแต่พอคิดมาคิดไปคิดไปคิดมาหลายตลบก็พบว่ายายคิดถูกแล้ว) และแล้วเมื่อเวลา ยี่สิบนาฬิกายี่สิบนาที ก็มีเสียงเด็กร้องลั่นโรงพยาบาล และร้องอยู่นานทีเดียวเพราะแม่สลบ กว่าแม่จะฟื้นฉันก็แหกปากร้องลั่นห้องพักหลังคลอดจนพยาบาลที่นั้นเบื่อจะอุ้มแล้ว เพราะอุ้มยังไงก็ไม่หายร้อง แม่บอกว่าตอนที่แม่ฟื้นขึ้นมา ได้ยินเสียงฉันร้องแต่แม่กลับคิดว่าเป็นเสียงลูกของคนอื่นเลยไม่ได้สนใจ พอพยาบาลรู้ว่าแม่ฟื้นก็ไปตามยายมาดูฉันกับแม่(ถ้าแม่เด็กยังไม่รู้สึกตัวพยาบาลที่ตึกหลังคลอดจะไม่ให้ญาติเข้ามาโดยเฉพาะในยามวิกาล เพราะกลัวว่าจะเป็นพวกมิจฉาชีพมาขโมยเด็ก) ยายคงเห็นว่าฉันร้องไม่หยุดเลยบอกแม่ให้อุ้มฉัน รู้ไหมแม่ตอบไปว่าไง แม่บอกว่า บอกให้ลุงฉันโน้นมาอุ้มเอา ยกฉันให้ลุงแล้วเหนื่อยไม่เอาแล้ว (น้อยใจรอบที่สอง แงแง แม่นะแม่ หนูเป็นลูกนะ)ยายก็เลยอุ้มฉันเองซะเลยไม่รู้ว่าเป็นเพราะสายสัมพันธ์ของสายเลือดเดียวกันหรือเป็นเพราะแหกปากร้องไห้มานานจนเหนื่อยหรืออย่างไรไม่อาจทราบได้ ฉันก็หลับปุ๋ยอยู่ในอ้อมแขนของยาย ทีพยาบาลสาวๆมาอุ้มดันไม่หยุดร้อง
 
    บรรยายฉากเกิดตัวเองซะนานทีของพี่สาวกับไม่เขียนถึง เพราะพี่สาวคลอดง่ายมากเลยไม่มีใครพูดถึง ไม่เหมือนดิฉันไปบ้านญาติทีไร โดยเฉพาะผู้ที่รู้เห็นเหตุการณ์ในการถือกำเนิดของฉัน จะเล่าเรื่องตื่นเต้นของฉันกันร่ำไป จนฉันจำได้ ชิงเล่าแทนก็หลายครั้ง ยายก็จะเอานิ้วมาจิ้มที่หน้าผากแล้วบอกว่า ทำเป็นรู้ดี เป็นไงบ้างคะ กว่าจะเกิดมาเป็นคนได้นี้ยากลำบากใช่ย่อย และกว่าจะเติบโตจนมาเป็นพยาบาลได้นี้ยังมีเรื่องยุ่งๆอีกเยอะ แล้วจะมาเล่าให้ฟังนะคะ (จบตอน3)

My sister story Episode2 ชีวิตของฉัน ตอนที่2

เมื่อฉันยังเป็นเด็ก แม่เล่าให้ฟังว่า สมัยแม่เป็นสาวหมู่บ้านแถวนี้เป็นดงคอมมิวนิสต์ เจ้าหน้าที่ทางการกับผู้ก่อการร้ายปะทะกันบ่อยมาก บางคืนก็มีเรือบินบินวนไปวนมารอบๆหมู่บ้าน ใครที่มีบ้านมุงหลังคาด้วยสังกะสีต้องเอาทางมะพร้าว มามุงทับเพื่ออำพรางไม่ให้คนบนเรือบินรู้ว่าข้างล่างมีบ้านคน แต่แม่ก็บอกว่าถึงเจ้าหน้าที่จะรู้ว่าเป็นที่นี้เป็นหมู่บ้านก็ไม่น่าจะเป็นอะไร เพราะคนที่เป็นคอมมิวนิสต์จริงๆเขาไม่ได้อยู่ในหมู่บ้าน พวกเขาเข้าไปอยู่ในป่า นานๆจะออกจากป่าเพื่อมาหาซื้อเสบียง ขอย้ำว่าออกมาซื้อ พวกสหาย(เป็นคำที่ชาวบ้านใช้เรียกสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์)ไม่เคยเอาเปรียบชาวบ้าน ไม่เหมือนเจ้าหน้าที่รัฐที่เอาแต่กินฟรี มีแต่เอารัดเอาเปรียบชาวบ้าน
              เมื่อกลุ่มสหายมาหาซื้อเสบียงเสร็จก็จะเข้าป่าไปหายไปเป็นเดือนๆ บ้างครั้งครอบครัวของคนที่เข้าร่วมเป็นสหาย ก็จะเข้าป่าเอาเสบียงไปส่ง แต่ช่วง สองสามปีก่อนป่าแตก เขาห้ามไม่ให้ญาติเข้าป่าไปส่งเสบียงเพราะอันตรายเกินไปและอาจเสียลับได้ เพราะจะมีคนของทางการแอบแฝงเข้าไปในกลุ่มญาติ แล้วส่งข่าวบอกทางการ  การต่อสู้ระหว่าง ผกค.(ผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์) กับเจ้าหน้าที่ของรัฐก็ดำเนินไปเรื่อยๆ จนเกิดเหตุการณ์เผาโรงพักและบ้านพักของตำรวจทำให้ลูกเมียของเจ้าหน้าที่ตำรวจเสียชีวิตไปหลายราย (ได้ฟังแล้วไม่แปลกใจเลยที่รู้สึกว่ามันเป็นโรงพักผีสิง)หลังจากนั้นไม่นานก็มีการตัดถนนจากอำเภอที่ฉันอยู่ไปอีกอำเภอหนึ่งที่มี ผกค.ชุกชุมพอๆกันกับปลากุ่มในลำน้ำปาว
            ถนนสายนี้กว่าจะสร้างเสร็จก็สิ้นเปลืองชีวิตทั้งของเจ้าหน้าที่และคนที่มาทำถนนไปเยอะเหมือนกัน เพราะระหว่างตัดถนนก็มีการปะทะกันระหว่างเจ้าหน้าที่ ผกค.ไปด้วย เรียกว่าคนมีหน้าที่ทำถนนก็ทำไป คนมีหน้าที่ยิงก็ยิงไป ใครโดนกระสุนก็ตายไปเท่านั้น แม่บอกว่าไม่ต่างจากภาคใต้ในตอนนี้เลย อาจแตกต่างตรงที่อาวุธไม่รุนแรงเท่า อย่างน้อยพวกเขาก็ไม่เผาโรงเรียน พวกเขาต่อสู้เพื่อความเท่าเทียม เมื่อถนนเสร็จเจ้าหน้าที่ก็หลั่งไหลเข้ามาในพื้นที่มากมายแต่ไม่ได้กลับออกไปก็เยอะแยะ เพราะพวกเขาไม่รู้จักพื้นที่ พวกเขาไม่รู้จักป่า พวกเขาไม่รู้ว่า ต้นไม้ที่พวกเขามองเห็นมีคมกระสุนรอปลิดชีวิตพวกเขาอยู่
            อำเภอของฉันจึงถูกประกาศให้เป็นพื้นที่ที่ล่อแหลมต่อความมั่นคงของชาติ ต้นไม้ที่อยู่บนภูเขาจึงกลายเป็นสิ่งที่ทำให้ความมั่นคงของชาติคลอนแคลน (คิดว่าคงเป็นมุมมองของรัฐบาลในสมัยนั้น)จึงได้มีกลุ่มนายทุนเข้ามาสัมปทานตัดไม้ ในป่าไม้ของเรา จนภูเขาทั้งสองลูกของเรากลายเป็นภูหัวโล้น (ตอนฉันอยู่ประถมภูเขาทั้งคู่ยังหัวโล้นอยู่ แต่ปัจจุบันเริ่มจะมีผมขึ้นมาบ้างแล้ว) กลุ่มผกค.ที่อยู่ในสองอำเภอนี้จึงย้ายไปอยู่ที่ภูพานบ้าง ภูหินตั้งบ้าง ตามอัธยาศัย เสียงปืนที่เกิดจากการปะทะกันระหว่างเจ้าหน้าที่กับ ผกค.ดังอยู่ไม่นาน ก็เข้าสู่ช่วงเวลาป่าแตก (จบตอนที่สอง)








http://deathmoon.exteen.com/20110211/entry

My sister story Episode1 ชีวิตของฉัน ตอนที่1

อันนี้เป็นเรื่องราวชีวิตของน้องสาวค่ะ เอามาจากไดอารี่บล๊อกของน้องสาวเอง น้องสาวลี่ทำงานเป็นพยาบาลอยู่ประจำที่สถานีอนามัยประจำตำบล ที่บ้าน คือ จังหวัดกาฬสินธ์

my sister story, now my sister work in Sanitarium Thailand she is a nurse .


ฉันเกิดที่ขอนแก่น เติบโตที่กาฬสินธุ์ แล้วโบยบินไปเรียนที่นนทบุรี
ฉันมีตัวตนพร้อมลมหายใจครั้งแรกที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งในจังหวัดขอนแก่น จากนั้นไม่นานก็เดินทางมาที่จังหวัดกาฬสินธุ์ มาอยู่ในหมู่บ้านเล็กๆแห่งหนึ่งเพื่อเติบโต และจากนั้นไม่กี่ปีฉันก็ต้องเดินทางไปเป็นนักศึกษาที่จังหวัดนนทบุรี
ณ หมู่บ้านเล็กๆของฉัน มีมีหลากหลายวัฒนธรรมที่ฉันได้เรียนรู้ ฉันมีเพื่อนบ้านที่มาจากหลายจังหวัด เช่น สุรินทร์ ร้อยเอ็ด นครราชสีมา และที่ไกลกว่าใครเพื่อน คือเพื่อนบ้านที่ข้าแม่น้ำโขงมาจากสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว เพื่อนบ้านของฉันรวมทั้งพ่อแม่ของฉันต่างก็มีเหตุผลที่ทำให้ต้องเดินทางจากบ้านเกิดเมืองนอนมายังที่เมืองนี้ก็คือ “ที่เดิมแห้งแล้งกันดารเพาะปลูกไม่ได้” และได้ยินคำเล่าขานว่าที่แห่งนี้อุดมสมบูรณ์ ดังคำพังเผยที่ว่า
“กาฬสินธุ์นี้ดินดำน้ำซุ่ม   ปลากุ่มบ้อนคือแข้แกว่งหาง ปลานางบ้อนคือขางฟ้าลั่น       จั๊กจั่นฮ้องคือฟ้าล่วงบน”  นี้เป็นคำพังเผยที่แสดงให้เห็นถึงความอุดมสมบูรณ์ ของเมืองกาฬสินธุ์ จากปากต่อปาก จึงทำให้คนที่มาจากดินแดนที่แห้งแล้ง ไร้ซึ่งความหวังในบ้านเกิดของตนได้อพยพกันมาที่หมู่บ้านแห่งนี้
        ครอบครัวของฉันก็เป็นหนึ่งในผู้ที่ต้องการความเป็นอยู่ที่ดีกว่า เมื่อแหล่งทำกินเดิมที่ขอนแก่นน้ำท่วมบ่อยครั้ง ทำนาไม่ได้ เมื่อสามสิบปีที่แล้วตากับยายจึงเดินทางมาที่หมู่บ้านแห่งนี้ โดยที่ยังไม่รู้ว่าบ้านใหม่จะเป็นอย่างไร จะอุดมสมบูรณ์จริงดังคำร่ำลือหรือไม่ แต่สิ่งที่ตากับยายรู้ก็คือ เรายังมีความหวัง เราหวังว่าจะต้องเจอสิ่งที่ดีกว่า (จบตอนที่๑)
( ปลากุ่มและปลานางในคำพังเพยนี้ ได้แก่ปลาน้ำจืดสองชนิด ปัจจุบันยังพบอยู่ในลำน้ำดอกไม้และเขื่อนลำปาว

       ปลากุ่ม เป็นปลาสร้อยเกล็ดถี่ เกล็ดเล็กบางและมีสีน้ำเงินเป็นประกายเมื่อต้องแสงแดด มักอยู่รวมกันเป็นฝูง เวลาโผล่มาฮุบอากาศหรือเหยื่อจะมีเสียงดังเหมือนจระเข้ฟาดหาง 
       ส่วนปลานาง หรือปลาแดง เป็นปลาในตระกูลปลาเนื้ออ่อน ไม่มีเกล็ด ลำตัวแบนเรียวยาว ต้นหางโค้งงอเล็กน้อย ตอนหัวกว้าง มีหนวด 4 เส้น ยาวประมาณ 60 เซนติเมตรในอดีตมีอยู่ชุกชมและตัวโตเวลาที่มันโผล่หัวมาฮุบอากาศบนผิวน้ำพร้อมกันจะเสียงดังเหมือนฟ้าผ่า

ส่วนนี้คือตัวจั๊กจั๊น เกาะอยู่ตามต้นไม้ ก็เอาไม้ที่มียางขนุขไปตบที่ั่ตัว จั๊กจั๊นก็จะติดมา เราก็นำมาประกอบอาหาร ได้มาสัก สี่ ห้าตัว มาก้อยใส่กับมะม่วงป่า บางคนก็เอามาคั่วใส่เกลือกินกับข้าว เป็นอาหารคนยาก
       จั๊กจั๊น เป็นแมลงชนิดหนึ่ง มักจะอยู่ในป่า แล้วพอถึงฤดูผสมพันธุ์เราจะได้ยินเสียงของจั๊กจั๊นดังก้องป่า เวลาจะจับ เราเรียกว่าไป ตบจั๊กจั๊น จะใช้ไม่ไผ่หรือไม้อะไรก็ได้ที่มีลักษณะเรียวๆยาวๆ เอาไปแตะกับยางขนุนที่เหนียวๆ แล้วเอาไปตีที่ตัวจั๊กจั๊น ตัวจั๊กจั๊นก็จะติดที่ปลายไม้มา เราก็เอามาใส่ไว้ในข้อง (ภาชนะที่สานด้วยไม้ไผ่ มีฝาปิด)   
       ทั้งปลากุ่มและปลานาง ที่เคยมีอยู่ชุกชุมตามลำน้ำทั่วไปของกาฬสินธุ์ ชาวบ้านได้จับมาปรุงเป็นอาหารหลากชนิด แม้จะมีปริมาณไม่มากเท่าแต่ก่อน แต่ในความทรงจำของชาวเมือง ปลา) กุ่มและปลานาง คือสัญลักษณ์แห่งความอุดมสมบูรณ์ของข้าวปลาอาหารของเมืองกาฬสินธุ์มาแต่โบราณ ส่วนจั๊กจั๊นนั้นในอดีตมีอยู่มากในป่าที่อยู่ใกล้หมู่บ้าน  เมื่อมันร้องพร้อมๆกัน(ที่จริงเป็นเสียงที่เกิดจากการกระพือปีกแบบเร็วๆจนเกิดเสียง)เสียงจึงดังมากเหมือนเสียงฟ้าร้อง )

ปลานาง

Tuesday, 1 March 2011

Mae Rim Yi Peng Festival

Yi Peng Festival
Yi Peng Festival




In the Northern Thai provinces that were once part of the ancient Lanna Thai kingdom, the Yi-peng Northern Lantern Festival is still being celebrated. Tubular lanterns, resembling hot air balloons, are lit and released into the night sky as an offering the Lord Buddha. As hundreds of illuminated lanterns drift into infinity, this conjures the same sense of wistful closure as the krathong float downstream.


An amazing procession of hanging lanterns, Krathong design contest, Miss Yi Peng beauty contest, light and sound presentation in Ping River, the ancient Thai Lanna Krathong activities, local cultural performances, and local handicrafts market in Lanna style.



Yi Peng Festival


Yi Peng Festival
Yi Peng Festival
Yi Peng Festival
Yi Peng Festival
Yi Peng Festival
Yi Peng Festival

 















http://www.thaifestivalblogs.com/festivals-of-thailand/yi-peng-festival.html